ในยุคที่ความปลอดภัยบนโลกออนไลน์กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ใช้งานและเจ้าของเว็บไซต์ การเลือกใช้ HTTPS แทน HTTP ไม่ได้มีผลแค่เรื่องความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่ออันดับในผลการค้นหาของ Google เว็บไซต์ที่มีความปลอดภัยสูงย่อมได้เปรียบในการแข่งขันทาง SEO บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า HTTP และ HTTPS ต่างกันอย่างไร และทำไมการเปลี่ยนมาใช้ HTTPS จึงเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้น
HTTP และ HTTPS คืออะไร
เมื่อคุณเข้าเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม คุณอาจสังเกตเห็นว่าที่อยู่เว็บไซต์บางแห่งขึ้นต้นด้วย “http://” หรือ “https://” หลายคนอาจสงสัยว่าสองสิ่งนี้แตกต่างกันอย่างไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อความปลอดภัยและการทำ SEO ของเว็บไซต์ บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจเรื่อง HTTP และ HTTPS อย่างละเอียด
HTTP คืออะไร
HTTP ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol เป็นโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างเว็บเบราว์เซอร์ของผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ กล่าวง่าย ๆ คือ HTTP ทำหน้าที่เป็นภาษากลางที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์ทั้งสองฝ่ายสื่อสารกันได้
เมื่อคุณพิมพ์ที่อยู่เว็บไซต์และกด Enter เว็บเบราว์เซอร์จะส่งคำขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ผ่าน HTTP จากนั้นเซิร์ฟเวอร์จะส่งข้อมูล เช่น ไฟล์ HTML รูปภาพ หรือวิดีโอกลับมายังเบราว์เซอร์ เพื่อแสดงผลเป็นหน้าเว็บไซต์ที่คุณเห็น
อย่างไรก็ตาม HTTP มีข้อจำกัดสำคัญคือ ไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล หมายความว่าข้อมูลที่ส่งระหว่างเบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์สามารถถูกดักจับหรือขโมยได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องกรอกข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต
HTTPS คืออะไร
HTTPS ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol Secure เป็นเวอร์ชันที่ปลอดภัยของ HTTP โดยมีการเพิ่มขั้นตอนการเข้ารหัสข้อมูลผ่านเทคโนโลยี SSL (Secure Sockets Layer) หรือ TLS (Transport Layer Security)
การทำงานของ HTTPS คือข้อมูลที่ส่งระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์จะถูกเข้ารหัสไว้ ทำให้ไม่สามารถอ่านข้อมูลได้ แม้ว่าจะมีการดักจับข้อมูลระหว่างทางก็ตาม ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตจะไม่สามารถแกะรอยหรือขโมยข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเว็บไซต์ใช้ HTTPS เว็บเบราว์เซอร์จะแสดงสัญลักษณ์รูปกุญแจที่แถบที่อยู่ URL เพื่อบ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นปลอดภัยสำหรับการใช้งาน
เหตุผลที่ HTTPS มีผลต่อ SEO
หลายคนอาจสงสัยว่าการเปลี่ยนจาก HTTP มาเป็น HTTPS มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์จริงหรือไม่ คำตอบคือ “มี” และไม่ใช่ผลกระทบเพียงเล็กน้อย แต่ HTTPS กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีน้ำหนักพอสมควรในการประเมินคุณภาพเว็บไซต์ของ Google แล้วทำไมความปลอดภัยถึงเกี่ยวข้องกับ SEO? มาดูเหตุผลสำคัญกันอย่างละเอียด
1. Google ประกาศให้ HTTPS เป็นปัจจัยจัดอันดับ
ตั้งแต่ปี 2014 Google ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า HTTPS เป็นหนึ่งในปัจจัยที่นำมาพิจารณาจัดอันดับเว็บไซต์ แม้จะมีน้ำหนักน้อยกว่าปัจจัยหลัก เช่น คุณภาพของเนื้อหาและประสบการณ์ผู้ใช้ แต่เมื่อเว็บไซต์สองแห่งมีคุณภาพใกล้เคียงกัน เว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS มักจะได้รับการจัดอันดับสูงกว่า
การมี HTTPS แสดงให้ Google เห็นว่าเจ้าของเว็บไซต์ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้ และนั่นสอดคล้องกับเป้าหมายของ Google ที่ต้องการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ค้นหา
2. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้งาน
ความปลอดภัยส่งผลโดยตรงต่อความไว้วางใจของผู้ใช้ เว็บไซต์ที่ไม่มี HTTPS มักจะแสดงข้อความเตือนว่า “ไม่ปลอดภัย” บนเบราว์เซอร์ เช่น Chrome หรือ Firefox ซึ่งสามารถทำให้ผู้เข้าชมลังเลหรือปิดหน้าเว็บไซต์ทันที
ในทางกลับกัน เว็บไซต์ที่มีสัญลักษณ์กุญแจสีเขียวหรือข้อความ “ปลอดภัย” บนแถบที่อยู่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เยี่ยมชม ทำให้พวกเขากล้าที่จะอ่านข้อมูล กรอกแบบฟอร์ม หรือทำธุรกรรมบนเว็บไซต์ได้มากขึ้น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลให้สถิติ Engagement ดีขึ้น และส่งผลบวกต่อ SEO ในที่สุด
3. ลดอัตราการออกจากหน้าเว็บไซต์ (Bounce Rate)
เว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัยมักมีอัตรา Bounce Rate สูง เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ออกจากหน้าเว็บทันทีเมื่อเห็นคำเตือนความปลอดภัย และ Google เองก็มองว่า Bounce Rate เป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นอาจไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้
การใช้ HTTPS ช่วยลดโอกาสที่ผู้ใช้จะออกจากหน้าเว็บเร็วเกินไป ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสได้รับคะแนนคุณภาพ (Page Quality Score) ที่สูงขึ้นในสายตาของ Google
4. ความเร็วเว็บไซต์ที่ดีกว่า
แม้หลายคนจะคิดว่า HTTPS ต้องมีขั้นตอนการเข้ารหัสเพิ่มขึ้น อาจทำให้เว็บไซต์ช้าลง แต่ในความเป็นจริงเทคโนโลยี HTTP/2 ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วการโหลดเว็บไซต์ได้นั้น รองรับเฉพาะเว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS เท่านั้น
เว็บไซต์ที่รองรับ HTTP/2 จะสามารถทำให้การโหลดหน้าเว็บเร็วขึ้น ลดเวลาการตอบสนอง และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ ซึ่ง Google ใช้ความเร็วเว็บไซต์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับการจัดอันดับ โดยเฉพาะบนอุปกรณ์มือถือ
5. รองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ บนเว็บไซต์
การพัฒนาเว็บสมัยใหม่ เช่น Progressive Web Apps (PWA), Service Workers หรือการใช้งาน API ที่สำคัญหลายตัว เช่น Geolocation API ล้วนแต่ต้องการเว็บไซต์ที่ทำงานบน HTTPS เท่านั้น
หากเว็บไซต์ไม่ใช้ HTTPS ก็จะไม่สามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งอาจทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้ด้อยลงและเสียโอกาสทาง SEO ไปด้วย
6. ความปลอดภัยในการส่งข้อมูล
การใช้ HTTPS ช่วยปกป้องข้อมูลระหว่างผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์จากการถูกดักฟังหรือโจมตีด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น Man-in-the-Middle Attack (MITM) ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นบ่อยในเครือข่ายสาธารณะ
การปกป้องข้อมูลผู้ใช้งานไม่ใช่แค่สร้างความมั่นใจ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายในบางประเทศที่เริ่มมีกฎระเบียบเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูล เช่น GDPR ของยุโรป ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ Google ที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลผู้ใช้
การเปลี่ยนเว็บไซต์ให้ใช้ HTTPS ไม่ใช่แค่เรื่องของความปลอดภัย แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของเว็บไซต์ในด้าน SEO และประสบการณ์ผู้ใช้ การมีเว็บไซต์ที่ปลอดภัย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้เข้าชม แต่ยังเป็นปัจจัยเสริมสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาอีกด้วย
จะเริ่มใช้ HTTPS ได้อย่างไร
เมื่อเข้าใจแล้วว่า HTTPS มีผลดีต่อทั้งความปลอดภัยและอันดับ SEO ขั้นตอนต่อไปคือการเปลี่ยนเว็บไซต์จาก HTTP เป็น HTTPS ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากหากมีการวางแผนที่ดี ต่อไปนี้คือขั้นตอนสำคัญที่เจ้าของเว็บไซต์ควรรู้
1. เลือกและติดตั้ง SSL Certificate
SSL Certificate คือกุญแจสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์สามารถใช้งาน HTTPS ได้ โดยมีหลายประเภทให้เลือกตามความเหมาะสม เช่น
-
Domain Validation (DV): สำหรับเว็บไซต์ทั่วไป ต้องการเพียงการยืนยันความเป็นเจ้าของโดเมน
-
Organization Validation (OV): เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น
-
Extended Validation (EV): ให้ความน่าเชื่อถือสูงสุด เช่น เว็บไซต์ธนาคารหรือองค์กรขนาดใหญ่
หากต้องการเริ่มต้นง่ายๆ สามารถใช้ SSL ฟรีจากผู้ให้บริการอย่าง Let’s Encrypt ได้ แต่หากต้องการความน่าเชื่อถือสูงสำหรับธุรกิจ ควรเลือกซื้อ SSL แบบมีค่าใช้จ่ายจากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ
หลังจากเลือก SSL แล้ว ให้นำไฟล์ที่ได้ไปติดตั้งบนเว็บเซิร์ฟเวอร์ โดยขั้นตอนการติดตั้งอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละผู้ให้บริการโฮสติ้ง
2. ปรับตั้งค่าเว็บไซต์ให้รองรับ HTTPS
หลังจากติดตั้ง SSL Certificate เรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องตั้งค่าเว็บไซต์ให้ใช้งาน HTTPS เป็นค่าเริ่มต้น โดยมีขั้นตอนดังนี้
-
Redirect HTTP ไปยัง HTTPS: ตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง (301 Redirect) จาก HTTP เป็น HTTPS เพื่อให้ผู้ใช้งานและ Google เข้าถึงเว็บไซต์ในเวอร์ชันปลอดภัยเสมอ
-
อัปเดตลิงก์ภายในเว็บไซต์: เปลี่ยนลิงก์ที่ชี้ไปยังหน้าอื่นๆ ของเว็บไซต์ตัวเองจาก HTTP เป็น HTTPS เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา Mixed Content
-
ตรวจสอบปลั๊กอินและสคริปต์ภายนอก: หากเว็บไซต์ใช้ปลั๊กอินหรือโหลดสคริปต์จากภายนอก ให้แน่ใจว่าสคริปต์เหล่านั้นรองรับ HTTPS ด้วย
3. อัปเดตข้อมูลในเครื่องมือ SEO และการวิเคราะห์ข้อมูล
เมื่อเปลี่ยนมาใช้ HTTPS แล้ว ควรอัปเดตข้อมูลในเครื่องมือที่เกี่ยวข้องดังนี้
-
Google Search Console: เพิ่มเว็บไซต์เวอร์ชัน HTTPS เป็น Property ใหม่ เพื่อให้ Google รู้จักและติดตามเว็บไซต์ได้ถูกต้อง
-
Google Analytics: ปรับการตั้งค่า URL ของเว็บไซต์ในบัญชี Analytics เพื่อให้ข้อมูลการเก็บสถิติถูกต้อง
-
เครื่องมือ SEO อื่นๆ: อัปเดต URL ในเครื่องมือวิเคราะห์ SEO หรือเครื่องมือจัดการแคมเปญที่ใช้งานอยู่
4. ตรวจสอบและแก้ไขปัญหา Mixed Content
Mixed Content คือการที่หน้าเว็บที่โหลดผ่าน HTTPS มีการโหลดเนื้อหาหรือไฟล์บางส่วนผ่าน HTTP ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ไม่ปลอดภัยเต็มรูปแบบ ควรใช้เครื่องมือเช่น Lighthouse หรือปลั๊กอินเบราว์เซอร์เพื่อตรวจสอบ และแก้ไขลิงก์เหล่านั้นให้เป็น HTTPS ทั้งหมด
5. ทดสอบความถูกต้อง
หลังจากทำทุกขั้นตอนแล้ว ควรทดสอบว่าเว็บไซต์ทำงานได้ถูกต้องบน HTTPS ทั้งหมด เช่น
-
เข้าถึงเว็บไซต์ด้วย https:// และเห็นไอคอนกุญแจในเบราว์เซอร์
-
ตรวจสอบความเร็วเว็บไซต์ว่ามีการปรับปรุงดีขึ้นหรือไม่
-
ใช้เครื่องมือเช่น SSL Labs Test เพื่อตรวจสอบคุณภาพของการติดตั้ง SSL
สรุป การเปลี่ยนเว็บไซต์มาใช้ HTTPS ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งาน แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความน่าเชื่อถือและผลักดันอันดับ SEO การวางแผนอย่างรอบคอบ ตั้งแต่การเลือก SSL Certificate ไปจนถึงการอัปเดตข้อมูลในเครื่องมือต่างๆ จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น และสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว
บทสรุป
ความปลอดภัยของเว็บไซต์ไม่ใช่แค่เรื่องของการป้องกันข้อมูลอีกต่อไป แต่กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่ออันดับการค้นหา การเปลี่ยนจาก HTTP เป็น HTTPS จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งในด้านการสร้างความน่าเชื่อถือให้ผู้ใช้งาน และการทำ SEO ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว