จาก NoFollow ถึง DoFollow: เข้าใจทุกมุมของ Backlink ที่มีผลต่ออันดับเว็บไซต์

ในการทำ SEO หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดคือ “Backlink” หรือ ลิงก์ที่เชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่นกลับมายังเว็บไซต์ของเรา แต่ Backlink นั้นไม่ได้มีเพียงประเภทเดียว หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า NoFollow และ DoFollow แล้วสงสัยว่าทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันอย่างไร และส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์อย่างไร บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจได้ครบทุกมุม

Backlink คืออะไร

Backlink คือ ลิงก์ที่เว็บไซต์หนึ่งสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมโยงไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง เปรียบเสมือนการแนะนำหรือให้เครดิตว่าเนื้อหานั้นมีความน่าสนใจและมีคุณค่า สมมติว่าเว็บไซต์ A เขียนบทความและใส่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ B นั่นหมายความว่าเว็บไซต์ B ได้รับหนึ่ง Backlink จากเว็บไซต์ A

ในเชิงการทำ SEO Backlink ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์บนผลการค้นหาของ Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ โดยทั่วไปแล้ว เว็บไซต์ที่มีจำนวน Backlink คุณภาพสูงมาก มักมีโอกาสที่จะมีอันดับการค้นหาดีขึ้น

ทำไม Backlink ถึงสำคัญต่อ SEO

เหตุผลที่ Backlink มีความสำคัญ ได้แก่

  1. เพิ่มความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์ที่มีลิงก์จากเว็บอื่นชี้มา เปรียบเสมือนการได้รับการยอมรับจากสังคมออนไลน์ว่าเนื้อหานั้นมีคุณภาพ น่าเชื่อถือ

  2. ช่วยเพิ่มการมองเห็น ยิ่งมี Backlink มากจากหลายแหล่ง ผู้คนก็มีโอกาสพบเว็บไซต์ของเรามากขึ้น

  3. ส่งเสริมอันดับในผลการค้นหา Google ใช้ Backlink เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักเพื่อประเมินว่าเว็บไซต์นั้นมีคุณภาพและมีอำนาจในหัวข้อที่นำเสนอหรือไม่

  4. กระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ การมีลิงก์จากเว็บไซต์ยอดนิยมสามารถดึงดูดผู้เข้าชมใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

ประเภทของ Backlink

Backlink มีหลายประเภท แต่ที่สำคัญหลักๆ มีสองแบบ คือ

  • DoFollow คือ Backlink ที่อนุญาตให้ Google Crawler ติดตามลิงก์ไปยังเว็บไซต์ปลายทาง และส่งผลดีต่อ SEO

  • NoFollow คือ Backlink ที่มีแท็กบอกให้ Google ไม่ติดตามลิงก์นั้นโดยตรง แม้จะไม่ส่งผลเชิง SEO โดยตรง แต่ก็ยังมีประโยชน์ในด้านการสร้างการเข้าถึงและความน่าเชื่อถือ

ลักษณะของ Backlink ที่ดี

ไม่ใช่ว่า Backlink ทุกลิงก์จะส่งผลดีเท่ากัน Backlink ที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้

  • มาจากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือ

  • มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับหัวข้อของเว็บไซต์ปลายทาง

  • มีการวางลิงก์อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดหรือดูเป็นสแปม

  • ใช้ Anchor Text ที่เหมาะสม คือข้อความที่เป็นลิงก์ควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา

ความแตกต่างระหว่าง NoFollow และ DoFollow

เมื่อพูดถึงการทำ SEO หนึ่งในเรื่องที่นักทำเว็บไซต์ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้คือเรื่องของประเภทลิงก์ โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่าง NoFollow และ DoFollow แม้ว่าทั้งสองประเภทจะเป็นลิงก์ที่เชื่อมโยงจากเว็บไซต์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง แต่บทบาทและผลกระทบต่ออันดับเว็บไซต์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

DoFollow คืออะไร

DoFollow คือประเภทของลิงก์ที่อนุญาตให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลของเครื่องมือค้นหา (เช่น Googlebot) ติดตามลิงก์นั้นได้อย่างเต็มที่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เว็บไซต์ต้นทางได้ส่งผ่าน “น้ำหนัก” หรือ “พลัง” ของ SEO ไปยังเว็บไซต์ปลายทาง ทำให้เว็บไซต์ที่ได้รับลิงก์มีโอกาสเพิ่มอันดับในการค้นหาสูงขึ้น การได้รับ DoFollow Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้าน SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

NoFollow คืออะไร

NoFollow คือประเภทของลิงก์ที่ใส่แท็ก rel="nofollow" ลงไปในโค้ด HTML ของลิงก์นั้น คำสั่งนี้จะบอกให้โปรแกรมรวบรวมข้อมูลไม่ติดตามลิงก์และไม่ส่งผ่านน้ำหนักของ SEO ไปยังเว็บไซต์ปลายทาง การใช้ NoFollow มักเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องการเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาภายนอก แต่ไม่ต้องการรับรองหรือยืนยันความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์นั้น ตัวอย่างเช่น ลิงก์ในคอมเมนต์ของบล็อก หรือโฆษณาที่ต้องการป้องกันไม่ให้มีผลกระทบต่อ SEO

ผลกระทบต่อการทำ SEO

  • ลิงก์แบบ DoFollow มีผลโดยตรงต่อการเพิ่มคะแนน SEO ของเว็บไซต์ปลายทาง ทั้งในแง่ของความน่าเชื่อถือ (Authority) และอันดับในการค้นหา

  • ลิงก์แบบ NoFollow แม้จะไม่ส่งผ่านพลัง SEO แต่ก็ยังมีคุณค่าในเชิงการสร้างการรับรู้แบรนด์ การเพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ และการเสริมความหลากหลายให้กับโปรไฟล์ลิงก์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ SEO อย่างยั่งยืน

ควรสร้างลิงก์แบบไหนมากกว่ากัน

ในทางปฏิบัติ เว็บไซต์ควรมีทั้งลิงก์ DoFollow และ NoFollow อย่างสมดุล เพื่อสร้างโปรไฟล์ลิงก์ที่เป็นธรรมชาติ หากเว็บไซต์มีแต่ลิงก์แบบ DoFollow จำนวนมากเกินไป อาจถูกมองว่าพยายามทำ SEO แบบไม่เป็นธรรมชาติและเสี่ยงต่อการถูกลงโทษจาก Google ดังนั้น การผสมผสานทั้งสองประเภทอย่างชาญฉลาดจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด

ทำไม NoFollow ถึงยังมีความสำคัญ

แม้ว่า NoFollow จะไม่ได้ส่งผลทางตรงต่อ SEO แต่ก็ยังมีความสำคัญ เพราะ:

  • ช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์จากแหล่งอื่น

  • ส่งเสริมความหลากหลายของโปรไฟล์ลิงก์ (Link Profile) ซึ่งทำให้เว็บไซต์ดูเป็นธรรมชาติในสายตา Google

  • ช่วยสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในวงกว้าง

เทคนิคการสร้าง Backlink อย่างมีคุณภาพ

การสร้าง Backlink เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยผลักดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google แต่การมีลิงก์จำนวนมากอย่างเดียวไม่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “คุณภาพ” ของลิงก์ที่ได้มา หากลิงก์มีคุณภาพดี จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และทำให้อันดับดีขึ้นอย่างยั่งยืน ต่อไปนี้คือเทคนิคที่ควรนำไปใช้

1. เลือกเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมี Authority สูง

ลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือในสายตา Google เช่น เว็บไซต์ข่าวใหญ่ เว็บไซต์การศึกษา หรือเว็บไซต์หน่วยงานราชการ มักจะส่งผลเชิงบวกต่ออันดับ SEO ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อทำ Outreach หรือขอลิงก์ ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีค่า Domain Authority สูง และมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาของคุณ

2. สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าสนใจ

เนื้อหาที่ดีเป็นแรงดึงดูดธรรมชาติให้คนอยากลิงก์กลับมา ควรเขียนบทความหรือทำคอนเทนต์ที่เจาะลึก มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และแตกต่างจากที่มีอยู่ในตลาด เช่น งานวิจัยเฉพาะทาง อินโฟกราฟิกที่เข้าใจง่าย หรือบทวิเคราะห์เชิงลึก หากเนื้อหาของคุณมีคุณภาพสูงพอ เว็บไซต์อื่นจะเต็มใจนำไปอ้างอิงเองโดยไม่ต้องร้องขอ

3. ใช้วิธี Guest Posting อย่างมีกลยุทธ์

การเขียนบทความเพื่อเผยแพร่บนเว็บไซต์ของผู้อื่น (Guest Post) ยังคงเป็นวิธีการที่ได้ผลในการสร้าง Backlink แต่ควรเลือกเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ และมีคุณภาพดี อย่าเน้นเพียงการได้ลิงก์ แต่ต้องสร้างบทความที่มีคุณค่าต่อผู้อ่านจริง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและโอกาสในการขอลิงก์ในอนาคต

4. ทำ Internal Link ให้แข็งแรง

แม้ว่า Internal Link จะไม่ใช่ Backlink จากเว็บไซต์ภายนอก แต่การทำลิงก์ภายในที่ดีสามารถเสริมโครงสร้างเว็บไซต์ให้แข็งแรง และช่วยกระจายพลัง SEO ไปยังหน้าต่างๆ อย่างสมดุล การจัดวางลิงก์ภายในอย่างชาญฉลาดยังช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์และจัดอันดับได้ดีขึ้น

5. โปรโมทคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง

การสร้างเนื้อหาดีๆ แล้วไม่โปรโมท ถือเป็นการพลาดโอกาสสำคัญ ควรนำเนื้อหาไปโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดีย ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมาย หรือเสนอให้สื่อหรือบล็อกเกอร์นำไปพูดถึง การเผยแพร่เนื้อหาออกไปในวงกว้างช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับ Backlink แบบธรรมชาติ

6. สร้างความหลากหลายของแหล่งลิงก์

การมี Backlink จากหลากหลายแหล่งที่แตกต่างกัน เช่น บล็อกส่วนตัว เว็บข่าว เว็บองค์กร เว็บการศึกษา ช่วยให้โปรไฟล์ลิงก์ดูเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น Google ให้ค่ากับความหลากหลายของลิงก์มากกว่าการมีลิงก์จากแหล่งเดียวจำนวนมาก

7. หลีกเลี่ยงการสร้างลิงก์ที่ผิดกฎ Google

การซื้อขายลิงก์หรือแลกลิงก์แบบไม่เป็นธรรมชาติสามารถนำไปสู่การถูกลงโทษจาก Google ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่ออันดับ แต่ยังอาจทำให้เว็บไซต์ถูกแบน การสร้างลิงก์ควรเน้นความถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรมชาติ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน

บทสรุป

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง NoFollow และ DoFollow เป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่า DoFollow จะส่งผลเชิงบวกโดยตรงต่อการจัดอันดับ แต่ NoFollow ก็มีบทบาทที่ไม่ควรมองข้าม การสร้าง Backlink อย่างเป็นธรรมชาติ จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จในระยะยาว

รับทำ SEO 300 คำ